Category: Uncategorized

  • จอมโจรไมค์

    1. เด็กชายสอดมือเข้าไปใต้โต๊ะ ควานเจอถุงพลาสติกใส่ข้าวต้มมัดอยู่สองมัดใหญ่ รู้ได้ทันทีโดยไม่ต้องทาย ไมค์เอาขนมที่บ้านมาฝากเขาอีกแล้ว! ตั้งแต่ได้รับมอบหมายหน้าที่จากครูวิกรม เด็กชายก็ได้กินขนมฝีมือแม่ของไมค์ทุกเช้า ทั้งทองหยอด ขนมกล้วย ขนมตาล ขนมใส่ไส้ และอื่นๆอีกมากมาย แต่ที่เขาโปรดปรานที่สุด ก็คือ ขนมที่ทำจากข้าวเหนียวผัดกับกะทิ ห่อด้วยใบตอง ใส่ไส้กล้วย หรือข้าวต้มมัดนั่นเอง เด็กชายค่อยๆ แกะใบตองที่ห่อขนมออก กัดข้าวต้มมัดครั้งละคำน้อยๆ ด้วยไม่อยากให้มันหมดเร็วเกินไป “อร่อยมั้ย” ใครคนหนึ่งส่งเสียงถามมาจากด้านหลัง เด็กชายไม่ตอบ ได้แต่อมยิ้มเคี้ยวข้าวต้มมัดในปากต่อไป “ว่าจะติดข้าวเหนียวสังขยามาให้นายด้วย แต่แม่ฉันยังมูนข้าวเหนียวไม่เสร็จต้องรีบมาโรงเรียนเสียก่อน” “แค่นี้ก็พอแล้ว ฝีมือแม่นายสุดยอดมาก อร่อยทุกอย่างเลย” เด็กทั้งสองคุยและยิ้มให้กันอย่างมีความสุข 2. ชายวัยกลางคนเดินผ่านประตูโรงเรียน เข้ามาถึงอาคารเอนกประสงค์สีขาว สูง 2 ชั้น ในอดีตบริเวณนี้เป็นลานกว้าง แต่ปัจจุบันด้วยจำนวนนักเรียนที่มากขึ้น โรงเรียนขยายที่ทางออกไปไม่ค่อยได้ จึงเริ่มดัดแปลงพื้นที่ที่มีให้เกิดประโยชน์สูงสุด ที่โล่งสำหรับทำกิจกรรม หรือแม้กระทั่งสระน้ำ ถูกถมทำเป็นห้องเรียนจนหมด จนแทบไม่เหลือที่ให้เด็กๆได้นั่งหย่อนใจกัน สมัยเขาเรียน ชั้นหนึ่งมีเด็กเพียง 3 ห้อง ชั้นเรียนเดียวกันก็จะรู้จักกันหมด รู้แม้กระทั่งชื่อพ่อแม่ เรียกล้อกันจนเป็นชื่อตัว แต่ปัจจุบันปาเข้าไปชั้นละ 10…

  • พิมพ์เงินใช้เอง

    เปิดหัวมาแบบนี้หลายท่านอาจคิดว่าโค้ชนี่อยู่ดีไม่ว่าดี หาเรื่องใส่ตัวซะแล้ว … ที่จริงแล้ววลีข้างต้น ผมไม่ได้หมายถึงการพิมพ์เงินใช้เองจริงๆหรอกครับ แต่ผมอุปมาถึงการครอบครอง “ทรัพย์สินที่ให้กระแสเงินสด” ให้เราเป็นประจำ หรือ Cash Generating Assets โดยที่เราไม่ต้องทำงานทุกวันต่างหาก แนวคิดทรัพย์สินที่ให้กระแสเงินสด หรือ passive income นั้น เป็นที่รู้จักกันมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากหนังสือพ่อรวยสอนลูก (Rich Dad Poor Dad) ซึ่งเขียนโดย โรเบิร์ต ที คิโยซากิ เข้ามาในเมืองไทยเมื่อราว 10 กว่าปีก่อน ผมเองได้อ่านหนังสือเล่มนี้ครั้งแรกในปี 2000 และหยิบเอาแนวคิดในหนังสือมาลองผิดลองถูก (จะว่าไปผิดมากกว่าถูกอีกนะ) แก้ไข เรียนรู้ และเปลี่ยนวิธีคิด วิธีทำไปเรื่อย จนกระทั่งมีอิสรภาพทางการเงินได้ในอีก 8 ปีถัดมา สิบกว่าปีที่ผ่านมา หลักการดังกล่าวผ่านตาและผ่านความคิดของคนนับแสนๆคน แต่ก็นั่นแหละ คนจำนวนไม่น้อยมักแค่ได้อ่าน ได้เรียน ได้รู้ แต่ไม่เคยลองทำ ก็เลยไม่เข้าใจ และทำไม่ได้จริง (แถวบ้านผมเรียก มี Money Literacy แต่ไม่มี…

  • สร้างการเรียนรู้ให้ลูกผ่านบอร์ดเกม

    ตั้งแต่เด็ก ผมเป็นคนหนึ่งที่หลงใหลการเล่นเกมกระดานเป็นอย่างมาก เรียกว่าถ้าเพื่อนข้างบ้านหรือเพื่อนที่เรียนด้วยกันมาชวนเล่นเมื่อไหร่ เป็นอันได้ติดลมเล่นกันยาวๆ บอร์ดเกมในโลกนี้มีมากมายหลายประเภท ซึ่งผมเองก็เล่นมันทุกประเภทเลย ตั้งแต่ปาร์ตี้เกม หรือเกมที่เน้นความสนุกสนาน เฮฮา ไม่ต้องใช้ความคิดมากนัก อาศัยความเร็ว ความไว และความจำ ไปยันเกมแนวกลยุทธ์ ที่เล่นกันทีนานสองสามชั่วโมง หรือบางทีนานถึงขั้นต้องกินข้าวไปด้วยเล่นไปด้วยก็มี สองเกมที่เป็นจุดเริ่มต้นสร้างความเพลิดเพลินกับบอร์ดเกมให้กับผม ก็คือ “เกมเศรษฐี” กับ  “เกมนักสืบมหาภัย” และก็เป็นเกม 2 กล่องแรก ที่ผมและน้องๆขอแม่อยู่นาน กว่าแม่จะยอมซื้อให้ (เกมทั้งสองแปลมาจาก MONOPOLY และ CLUEDO ซึ่งเป็นเกมดังในต่างประเทศ) ถึงทุกวันนี้จะมีเกมรูปแบบใหม่เกิดขึ้นมามากมาย แต่โดยส่วนตัว ผมก็ยังชอบบอร์ดเกม หรือเกมกระดาน มากกว่าเกมในสมาร์ตโฟน หรืออินเทอร์เน็ต (ออกแนวหัวโบราณนิดๆ) เพราะการเล่นเกมกระดานนั้น นอกจากจะได้สนุกกับตัวเกมแล้ว ยังได้สนทนา หยอกล้อ ได้เห็นหน้าเห็นอาการ และพูดแซวกันระหว่างผู้เล่นในวงด้วย ซึ่งบรรยากาศแบบนี้เป็นอรรถรสที่หาไม่ได้ในเกมยุคใหม่ นอกเหนือไปจากความสัมพันธ์อันดีแล้ว (ซึ่งบางครั้งก็ไม่ดีนะ เพราะมีเถียงและตบตีกันบ้าง 555) เกมกระดานยังสอนให้เราได้เรียนรู้คนที่เราเล่นเกมด้วย ตั้งแต่ความรู้ วิธีคิด ไปจนถึงนิสัยใจขอของเขาได้อีกด้วย ถึงวันนี้วันที่ผมมีลูก ผมจึงเริ่มปลูกถ่ายและส่งต่อความสนุกสนานของเกมกระดานไปยังลูกๆของผมด้วย  ผมเริ่มชวนลูกเล่นเกมตั้งแต่ลูกอยู่ชั้นอนุบาล เริ่มต้นด้วยกลุ่มเกมที่เรียกว่า เกมการ์ด (Card…

  • AAR: ตกผลึก เรียนรู้ หลังดูหนังกับลูกรัก

    กิจกรรมหนึ่งที่ครอบครัวผมจะหาเวลาทำด้วยกันอยู่บ่อยๆ นอกเหนือจากการไปเที่ยว ก็คือ การดูหนังด้วยกันในโรงภาพยนตร์ครับ โดยส่วนตัวผมมองว่า แม้จะมีเทคโนโลยีที่ทำให้เราได้ดูหนังดีหนังดัง ผ่านช่องทางอินเทอร์เน็ตได้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การใช้เวลาอยู่ด้วยกันในโรงภาพยนตร์ราว 90-100 นาที ให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากการดูผ่านทีวี โน๊ตบุ๊ค หรือแท็บเล็ตที่บ้านอย่างมาก หนังส่วนใหญ่ที่ผมเลือกให้ลูกดูนั้น ทั้งหมดจะถูกสกรีนข้อมูลเบื้องต้นจากบทวิจารณ์ และคำติชมของคนรู้จักเสียก่อน ซึ่งแทบทั้งหมดก็จะเป็นหนังแอนิเมชั่น เพราะนอกจากภาพจะสวย ดูเพลินตา พลอตเรื่องน่าสนใจแล้ว ยังมีสาระให้พูดคุยกันต่อได้หลังดูจบอีกด้วย สองเรื่องล่าสุดท่ีผม ภรรยา และลูกๆ ดูด้วยกัน ก็คือ ZOOTOPIA และ THE JUNGLE BOOK (หรือชื่อไทยว่า “เมาคลีลูกหมาป่า”) หลังจบการดูหนังแต่ละเรื่อง ผมจะแอบสอดแทรกกิจกรรมที่เรียกว่า AFTER ACTION REVIEW (AAR) หรือการถอดบทเรียนหลังทำกิจกรรม เข้าไปให้กับลูกๆ โดยอาศัยบรรยากาศร้านอาหาร หรือไม่ก็ร้านไอศครีม เป็นสถานที่ดำเนินกิจกรรม ถ้าใครอยู่ในองค์กรที่มีการจัดการความรู้ (Knowledge Management) ก็คงจะรู้จักเครื่องมือตัวนี้กันเป็นอย่างดี โดยคร่าวๆแล้ว AAR ก็คือ เครื่องมือถอดบทเรียนหรือองค์ความรู้ (Learning Tool) เป็นการรวบรวมบทเรียนที่ได้จากการปฏิบัติ บางคนเรียกว่า การวิเคราะห์หลังปฏิบัติ เป็นวิธีการที่สะท้อนสิ่งที่ทีมทำมาด้วยกันว่า ว่าเริ่มต้นมีวัตถุประสงค์อะไร พอทำจริงเกิดอะไรขึ้น ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น และทุกคนที่ปฏิบัติกิจกรรมร่วมกันได้เรียนรู้อะไรบ้าง (Lesson…

  • ค้นหาจึงค้นพบ

    หนึ่งในคำถามที่เด็กเรียนจบใหม่ๆ หรือทำงานไม่ถึง 5 ปี มักถามผมอยู่เสมอก็คือ … “ทำอย่างไร ถึงจะค้นพบตัวเอง? ว่าเราเหมาะกับอะไร หรือควรประกอบอาชีพอะไรดี” ทุกครั้งที่ถูกถาม ผมมักจะตอบกลับไปด้วยคำตอบเดิมเสมอ นั่นคือ … กูก็ไม่รู้หวะ!! (ฮา) ที่ตอบไปเช่นนี้ก็เพราะ ผมมีความเชื่อโดยส่วนตัวว่า … เราไม่มีทางรู้หรอกว่าตัวเราเหมาะกับอะไร จนกว่าเราจะมีประสบการณ์ในสิ่งที่เราสนใจ (หรือกิจกรรมต้องสงสัย) มากพอ .. ดังนั้น นอกจากจะเลี่ยงไม่ตอบตรงๆแล้ว ผมยังมักแนะนำให้น้องๆที่เพิ่งเรียนจบใหม่ เปิดโอกาสให้ตัวเอง ลองคิด ลองทำ ลองลุย กับทุกโอกาสที่ผ่านเข้ามาอย่างเต็มกำลัง และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ ทั้งในแง่ความรู้ ความเข้าใจ และความรู้สึกต่อสิ่งที่ทำ สั่งสมให้มากเข้าไว้ สุดท้ายแล้วสิ่งใดจะใช่ตัวเราหรือไม่ใช่นั้น ให้พิจารณาดูจิต ดูใจของตัวเองว่า เวลาได้อยู่กับสิ่งนั้นงานนั้น เรารู้สึกอย่างไร (เอาความรู้สึกล้วนๆเลยนะ เหตุผลไม่ต้องเลย) ถ้ารู้สึกดี มีความสุข สนุก ท้าทาย อยากอยู่กับงานนั้นหรือส่ิงนั้นได้ทั้งวัน … อันนี้ผมว่าน่าจะใช่นะ! เหมือนกับเวลาเรารักใครสักคน ที่ไม่เห็นต้องอธิบายเหตุและผล ว่าทำไมต้องเป็นคนนี้เพราะอะไร หรือตีความหมายกันให้เสียเวลาว่า…

  • ความทรงจำทางการเงินในวัยเด็ก

    ครั้งหนึ่งสมัยเรียนอยู่ชั้น ป.4 ผมจำได้ว่าตัวเองเคยติดใจนาฬิกาอยู่เรือนหนึ่ง มันเป็นนาฬิกาตัวเรือนสีเงิน หน้าปัดเป็นรูปสี่เหลี่ยม สายเป็นหนังสีดำ สวยสะดุดตากว่าเรือนใดในตู้โชว์ ทุกครั้งเวลาเดินกลับบ้าน ผมจะต้องแวะดูนาฬิกาเรือนนี้ทุกครั้ง มองดูมัน เหมือนจะคอยตรวจสอบว่า มีใครซื้อนาฬิกาของผมไปหรือยัง เมื่อเห็นว่ายังไม่มีใครซื้อ ก็จะหยุดยืนดูมันอยู่สักพัก แล้วก็ค่อยเดินกลับบ้าน อาจเป็นเพราะเพิ่งจะดูนาฬิกาเป็น และเริ่มรู้ว่านาฬิกาสำคัญกับการดำรงชีวิตอย่างไร จึงสนใจและอยากมีนาฬิกาเป็นของตัวเอง แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่ดู เพราะไม่มีสตางค์ ยิ่งเมื่อเทียบราคากับนาฬิกาเรือนอื่นๆ แล้ว ต้องถือว่าราคาของมันค่อนข้างสูง หลายร้อยบาทในยุค 30 กว่าปีที่แล้ว ถือได้ว่าไม่เบาเลยทีเดียว ด้วยความอยากได้ ผมครุ่นคิดอยู่นานว่าจะขอป๊าซื้อนาฬิกาเรือนดังกล่าวดีหรือไม่ เพราะจากการคาดการณ์แล้ว มีโอกาสอยู่ไม่น้อยที่จะโดนด่า “ยังหาเงินเองไม่ได้ จะใช้ของแพงแบบน้ันไปทำไม” ……. (อันนี้เป็นคำตอบของป๊าที่ผมพยากรณ์เอาไว้ล่วงหน้า) แต่เมื่อความต้องการมันสุมมันรุมเร้า ผมจึงตัดสินใจเสี่ยงเอ่ยปากขอป๊า โดยชักแม่น้ำทั้งห้ามาเป็นเหตุผล ซึ่งคิดว่าไม่น่าจะต่างกับเด็กสมัยนี้เวลาอยากได้โทรศัพท์มือถือ “เอาสิ ……” คำตอบของป๊า ทำให้ผมแทบไม่เชื่อหูตัวเอง “แต่ …. (ว่าแล้ว) ต้องทำงานช่วยร้าน 2 วัน เสาร์–อาทิตย์นี้ ตั้งแต่เปิดร้านจนปิดร้าน ถ้าทำได้ คืนวันอาทิตย์เราจะไปซื้อนาฬิกากัน“ ความโลภเป็นเหตุ ไม่เจตนา ผมตกปากรับคำแบบไม่คิดจะเจรจาต่อรองใดๆ บ้านของผมเป็นร้านขายอะไหล่รถยนต์ย่านบางกะปิ เปิดตั้งแต่ 08.00 – 20.00 น. มีลูกค้ามากมายทั้งขาจร ขาประจำ รวมถึงอู่ซ่อมรถในละแวกใกล้เคียง ร้านเราเป็นที่รู้จัก…

  • The Money Coach Story

    This is the post excerpt.